Data + Analysis = Information + Action = Knowledge + Creativity = Wisdom
ข้อมูลที่มีอยู่ทั่วไป (Data) ที่ผ่านการจัดประเภทและวิเคราะห์ข้อมูลจะกลายเป็นสารสนเทศ (Information) ซึ่งภายหลังการนำมาปรับใช้กับองค์กรจะเกิดเป็นความรู้ (Knowledge) และความรู้ที่ผ่านการคิดริเริ่มเชิงสร้างสรรค์และนำมาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ จะเกิดเป็น Wisdom โดยระบบการบริหารจัดการทรัพยากรที่เป็นที่นิยมกันมากคือ ERP (Enterprise Resource Planning) ได้แก่ SAP และ Oracle ซึ่งเป็นระบบที่สามารถ link ทุกหน่วยงานเข้าหากัน ตั้งแต่ supplier ถึง customer หรือจากต้นน้ำไปยังปลายน้ำ
ตัวอย่างประเภทของระบบสารสนเทศที่นิยมใช้ในองค์กรธุรกิจมีดังนี้
-TPS: Transaction Processing System เป็นระบบที่มีความสำคัญที่สุดขององค์กร เนื่องจากเป็นระบบระดับปฏิบัติการที่มีการ update การเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ >>Transaction การเปลี่ยนแปลงจาก point A ไป point B จดเป็น transaction ไว้เพื่อนำไปประเมินผลต่อ
-Interorganizational System ระบบสารสนเทศที่ link ทุกหน่วยงาน
-Global System ระบบสารสนเทศที่ link ทุกสาขาทั่วโลก
-Management Information System (MIS) ผู้บริหารระดับกลางมักใช้ในการ forecast ยอดขาย เพื่อใช้ในการ develop กลยุทธ์ต่อไป เมื่อก่อนเรียกว่า Recording IS ไม่จำเป็นต้องมี feature มาก แต่สามารถออก report ได้
-BI (Business Intelligence) การ adapt ข้อมูลที่มีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ex.หาความสัมพันธ์ของสินค้าแต่ละชนิดเพื่อใช้เป็นประโยชน์ในทางการขาย
-DSS (Decision Support System) ช่วยในการตัดสินใจที่ไม่สามารถตัดสินได้ด้วยตาเปล่า ต้องใช้สถิติเข้ามาช่วยex. บ.เดินเรือพิจารณาว่าต้องใช้เชื้อเพลิงเท่าไหร่ ออกจาก port ไหนไป port ไหน เพื่อให้ประหยัดต้นทุนสูงสุด
-GDSS (Group Decision Support System) เป็นระบบที่ช่วยลดความขัดแย้ง เพื่อให้การนำข้อมูลไปใช้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
-ESS (Executive Support System) เป็นระบบสำหรับผู้บริหารระดับสูง มีการรวบรวมข้อมูลทั้งจากแหล่งภายในองค์กร เช่นข้อมูลระดับปฏิบัติการเพื่อนำไปใช้ในการบริหาร และข้อมูลภายนอกองค์กร เช่น ข้อมูลข่าวสารต่างๆ เนื่องจากผู้บริหารไม่มีเวลามาศึกษา report ดังนั้นข้อมูลมักมีลักษณะเป็น graphic และมี Dashboard ให้ใช้งาน ex. yahoo finance ที่ใช้ในการเปรียบเทียบการลงทุนระหว่างหลักทรัพย์ต่าง ๆ (simulation)
-Enterprise Application ใช้งานได้ cross-function ex. ERP, Supply Chain Mngt collect data มาจากทุก function
-แนวตั้ง ERP ต้นน้ำปลายน้ำ/ แนวนอน Relationship Mngt คอยช่วยเหลือ support ด้านการเสริมสร้างรายได้ให้แก่องค์กร
-CRM Customer Ralationship Management ให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากยิ่งขึ้น ex. serenade AIS
-salesforce.com มี dashboard ให้ใช้ สามารถคำนวณผลต่างๆได้ online เรียก cloud computing (amazon.com ก็ใช้เนื่องจากมีความจำเป็นในการประมาณจำนวนสินค้าในช่วงปลายปีสำหรับเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่), SAAS: Software as a Service ดีกว่าการพัฒนาเองตรงที่เป็นการช่วยประหยัดต้นทุนการวิจัยและพัฒนา และบางครั้งอาจต้องการใช้เพียงบางช่วงเวลาของปี
-Knowledge Management System (KMS) องค์กรต้องพยายามเก็บความรู้ไว้ เพื่อจะนำออกมาแชร์และ develop ต่อไป เพื่อสร้างเป็น Best Practice และ E-learning ex.เวลาพนักงานลาออกจะได้ไม่สูญเสียความรู้เหล่านั้นออกไปด้วย
-Explicit Knowledge ความรู้ที่ชัดแจ้ง ชัดเจน สามารถอธิบายได้ ตรงข้ามกับ Implicit Knowledge
-การบริหารองค์ความรู้ Knowledge Mngt ex. การสัมมนา การ train พนักงาน
-Intranet อินเตอร์เน็ตในองค์กร ไม่ปลอดภัย เนื่องจากอาจมีการส่งข้อมูลไปยังแหล่งอื่นก่อนถึงปลายทาง
-Extranet อินเตอร์เน็ตระหว่างองค์กร leased network มาจาก กสท. มีความปลอดภัยสูงกว่า มีการ encrypt ไว้
-Collaboration and Communication System ex. E-mail, Instant Messenger บ.มักนิยมให้ใช้ Lotus Note มากกว่า เนื่องจาก Hack ข้อมูลได้ยากกว่า
-ต่างประเทศมีการตั้ง social network ขึ้นเองในการใช้ภายในองค์กร และ Block อันอื่นหมด
-Desktop Publishing ไว้ทำ Brochure
-Document Managing System ระบบที่ใช้ในการจัดการเก็บข้อมูล
-Expert System ระบบผู้เชี่ยวชาญ นำความรู้ความเชี่ยวชาญของบุคคลหนึ่งมาไว้ในองค์กร เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
Data and Text Mining เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลใน e-mail รายงานต่างๆ
-Wikipedia มีหลายคน write ข้อมูล แต่มีคนจำนวนมากกว่าที่เข้ามาอ่าน การนำข้อมูลมาใช้จึงควรมีความระมัดระวัง
-Virtual World โลกเสมือน ex. Game Online - World of Warcraft, Second Life ผ่านการสร้าง Avatar
-E-commerce ex. EbaY การค้าขายระหว่างองค์กรกับลูกค้า
-E-Business การซื้อขายระหว่างธุรกิจ
-E-Government ex. E-Revenue การเสียภาษีออนไลน์
-Information System Department องค๋กรขนาดกลางขึ้นไปมักมี เพื่อใช้ในการติดต่อกับซัพพลายเออร์ รวมถึงการสร้างกลยุทธ์การขาย
-CIO - Chief Information Officer ผู้บริหารที่ควบคุมดูแลระบบสารสนเทศ หรือ CTO - Chief Technology Officer
-Web2.0 World Wide Web version 2 เป็นพวก Social Media (Version 1 เป็น content media) มิได้เพียงแค่บริโภคข้อมูล แต่สร้างข้อมูลใช้ติดต่อสื่อสารด้วย
-Web3.0 Intelligent Web เทคโนโลยีสำหรับอนาคต เป็น Machine แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ไม่ต้องผ่านคน ex. google translate อัตโนมัติ ที่ทำให้คนทุกประเทศพูดคุยกันได้หมด ไม่มีข้อจำกัดด้านภาษา
-Emerging Computing Environment ex. 3G ช่วยให้การถ่ายโอนดาวน์โหลดข้อมูลเร็วขึ้น เพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ, Web Service ใช้ internet provide services, Utility computing เปรียบอินเตอร์เน็ตเสมือนสาธารณูปโภคแขนงหนึ่ง
-GPS: ใช้ในการ track เส้นทาง
-Pervasive Technology เช่น smartphone ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งใน Lifestyle ของคนเมือง
-Open Source Code Software ไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ซื้อ software ex. MS สามารถช่วยลดต้นทุน
-Virtualization จากการใช้งาน server ที่ไม่ได้ใช้ตลอดเวลา จึงสร้าง software นำ server ทุกตัวมาอยู่รวมกัน เพื่อเพิ่มเสถียรภาพการทำงาน
กระดาษอิเล็กทรอนิกส์ (E-Paper) เป็นเทคโนโลยีการแสดงผลที่เลียนแบบลักษณะการใช้หมึกบนกระดาษปกติ สามารถสะท้อนแสงได้เหมือนกระดาษทั่วไป และบันทึกข้อความและภาพโดยไม่ต้องอาศัยไฟฟ้า นอกจากนี้ยังมีน้ำหนักเบา ทนทาน และโค้งงอได้มากกว่า เมื่อเทียบกับเทคโนโลยีจอแสดงผลแบบอื่นๆ
Tablet PC คือ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ได้มีการพัฒนาให้มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา สะดวกในการพกพา ในด้านความสามารถในการใช้งานก็สอดคล้องกับลักษณะของเครื่องที่เหมาะกับการทำงานนอกสถานที่ ไม่ว่าจะเป็น การเชื่อมต่อแบบไร้สาย หรือ Touch screen
Green IT (เทคโนโลยีสารสนเทศสีเขียว) หรืออาจเรียกว่า Green computing หมายถึง แนวคิดในการบริหารจัดการและเลือกใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการการใช้พลังงาน ลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการสร้างขยะ รวมถึงการนำขยะอิเลคทรอนิคส์มารีไซเคิลใหม่อีกด้วย
ภัคนิจ แดงสุภา 5202112602
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น